แนวคิดเสรีนิยมใหม่หรือNeoliberalismนั้นตกเป็นจำเลยสำคัญที่ทำให้"สินทรัพย์ของอภิมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด 3 คนบนโลก
มีมูลค่ามากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของประเทศด้อยพัฒนาที่สุดรวมกัน
ซึ่งมีประชากรมากกว่า 600 ล้านคน"1 ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แนวคิดนี้ทำงานอย่างไร เรามาศึกษากัน
โดยหลักๆแล้ว
แนวคิดของเสรีนิยมใหม่คือ
การค้าเสรีซึ่งหมายถึงการลดบทบาทของรัฐที่จะเข้ามาควบคุมตลาดให้เหลือน้อยที่สุด
ดังนั้นในแนวคิดเสรีนิยมใหม่จึงสนับสนุนให้มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
เพื่อให้กิจการการค้าต่างๆมีการแข่งขันโดยเสรี เพราะนักเสรีนิยมใหม่นั้นเชื่อใน"มือที่มองไม่เห็น(invisible
hand)ของตลาดเป็นกลไกที่ดีที่สุดสำหรับการทำให้สัญชาตญาณขั้นต่ำที่สุดของมนุษย์
เช่น ความตะกละ ละโมบ และความฝักใฝ่ในความมั่งคั่งและอำนาจ
แปรเปลี่ยนกลายเป็นผลประโยชน์สำหรับทุกคน"2
ฟังดูดีใช่ไหมหล่ะ
การแข่งขันโดยเสรี ทุกคนก็มีจะมีสิทธิเท่ากันในการแข่งขัน
คนรวยก็จะกลายเป็นคนจนได้ ถ้าคนรวยไม่ขยันหรือไม่พัฒนาสินค้าของตนออกมาขายให้โดนใจตลาด
ในขณะเดียวกันคนจนก็จะกลายเป็นคนรวยได้
ถ้าสามารถผลิตสินค้าออกมาให้โดนใจตลาดมากกว่าเจ้าของตลาดเดิม
ดังนั้นในโลกยุคปัจจุบันเราเลยเห็นเศรษฐีเกิดใหม่อย่างMark Zuckerberg เจ้าของFacebook
หรือการที่iphoneมาตีตลาดชิงส่วนแบ่งในตลาดมือถือจากเจ้าตลาดเดิมอย่างMotorolaหรือNokiaอย่างไม่เห็นฝุ่น
ทั้งหมดก็เพราะการค้าเสรีเนี่ยหล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นแนวคิดเสรีนิยมใหม่ที่เน้นให้แปรรูปรัฐวิสาหกิจมาเป็นของเอกชน
เพื่อให้ตลาดแข่งขันโดยเสรียังทำให้เรามีโอการเป็นเจ้าของหุ้นดีๆอย่าง ปตท.อีกด้วย
แต่ในทัศนะของDavid Harvey เจ้าพ่อแห่งการวิพากษ์วิจารณ์ระบบเสรีนิยมใหม่ไม่มองเช่นนั้น
เขามองว่าแนวคิดเสรีนิยมใหม่นั้นเป็นการฟื้นฟูและการรักษาอำนาจของชนชั้นนำ
ซึ่งตั้งอยู่บนระบบทุนนิยมการเงิน เพราะการที่เอกชนเข้าไปแทนที่รัฐก็คือการให้เอกชนเข้าไปมีกรรมสิทธิ์ในทรัพยากรของรัฐเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งของเอกชนนั่นเอง
เพราะจากเมื่อก่อนกิจการสาธารณูปโภคต่างๆเป็นของรัฐ
ดังนั้นราคาของสินค้าสาธารณูปโภคเหล่านี้ยังสามารถควบคุมโดยรัฐได้
แต่เมื่อเปลี่ยนไปสู่มือเอกชน ซึ่งมีแนวทางที่จะแสวงหากำไรสูงสุด
ราคาของสาธารณูปโภคก็ควรจะตั้งที่ราคาที่ทำให้บรรษัทได้กำไรสูงที่สุดด้วยเช่นกัน
ดังนั้นเราจึงเห็นว่าบางครั้งราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลงเป็นสิบเหรียญแต่ราคาขายหน้าปั๊มของปตท.ไม่ขยับลงเท่าไหร่
David Harveyโจมตีแนวคิดเสรีนิยมใหม่อย่างมาก
เพราะเขามองว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจคือการเปิดโอกาสให้ชนชั้นนำเข้ามามีกรรมสิทธิ์ในสาธารณูปโภคต่างๆนั่นเอง
มันจึงทำให้คนรวยยิ่งรวยขึ้นไปอีกและคนจนก็ยังจนอยู่เหมือนเดิม
เพราะเสรีหรือใบเบิกทางสู่ความกินดีอยู่ดีในแนวคิดเสรีนิยมใหม่นั่นจะเกิดขึ้นได้ด้วยอำนาจเงินตรา
ถ้ามันเป็นแนวคิดที่ทำให้คนรวยนั่นรวยยิ่งขึ้นไปอีก
เป็นแนวคิดที่ทำให้ความเหลื่อมล้ำทางสังคมขยายวงกว้างขึ้นไปอีก
ทำไมแนวคิดนี้ถึงได้แผ่ขยายไปทั่วโลก
เพราะเสน่ห์ของมันที่ทำให้ความมั่งคั่งเป็นสิ่งที่คนยากจนในสังคมสามารถฝันถึงได้
ในสมัยโบราณ ความร่ำรวยนั้นกระจุกตัวอยู่เพียงชนชั้นปกครองเท่านั้น
ถ้าคุณเกิดมาเป็นคนยากจนในสังคม ไม่ได้มีเส้นมีสายในแวดวงข้าราชการ
ยากเหลือเกินที่คุณจะพ้นความยากจนมาได้ แต่ในระบบเสรีนิยมใหม่นั้น
ถ้าคุณขยันและมีกึ๋นพอ ความร่ำรวยมหาศาลเป็นสิ่งที่คุณฝันถึงได้ ตัวอย่างก็มีให้เห็นอย่างที่กล่าวไปแล้ว
เช่น Mark Zuckerberg เจ้าของFacebook เป็นต้น
แต่David Harveyไม่ได้มองเช่นนั้น
เขามองว่าแนวคิดเสรีนิยมใหม่เป็นเพียงแนวคิดที่จะขจัดชนชั้นปกครองเก่าออกไป
เพื่่อให้ชนชั้นผู้ประกอบการใหม่เข้ามาแทนเท่านั้น คือขจัดชนชั้นปกครองเดิมที่รักษาความมั่งคั่งไว้ได้ด้วยกฏหมายเก่าที่เอื้อประโยชน์ให้คนกลุ่มนี้
แล้วแทนที่ด้วยชนชั้นนำใหม่ที่มาพร้อมกับกฏหมายใหม่ที่เป็นใบเบิกทางถ่ายทอดความมั่งคั่งจากชนชั้นปกครองเดิมมาสู่ชนชั้นนำใหม่เท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น" การที่มาร์กาเรต แทตเชอร์
โจมตีรูปแบบดั้งเดิมบางอย่างของอำนาจทางชนชั้นที่ฝังรากลึกในสังคมอังกฤษ
แทตเชอร์พยายามทำลายจารีตชนชั้นผู้ดีเก่าแก่ที่ครอบงำกองทัพ
ศาลและชนชั้นนำด้านการเงินการธนาคารในซิตีออฟลอนดอน และในหลายภาคส่วนของอุตสาหกรรม
แทตเชอร์หันมาเข้าข้างพวกผู้ประกอบการที่กล้าได้กล้าเสียและพวกกลุ่มเศรษฐีใหม่
อีกทั้งยังสนับสนุนและได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นผู้ประกอบการใหม่ (เช่น ริชาร์ด
แบรนสัน ลอร์ด แฮนสัน และจอร์จ โซรอส)"3
ในหนังสือของDavid Harveyยังกล่าวเป็นนัยอีกว่าแนวคิดเสรีนิยมใหม่เป็นเพียงเครื่องมือที่รัฐบาลสหรัฐซึ่งเป็นเจ้าแห่งแนวคิดเสรีนิยมใหม่
ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหาความชอบธรรมในการยึดครองทรัพยากรของชาติอื่นด้วยคำว่าเสรีภาพ
ดังเช่นสหรัฐอ้างว่าเพื่อเสรีภาพและความสงบสุขของประชาคมชาวโลก
สหรัฐจึงจำเป็นต้องส่งกำลังทหารเข้าไปยึดครองอิรัก
ตัวอย่างที่จะพอสนับสนุนเรื่องนี้ได้คือคำกล่าวของพอล เบรเมอร์ "ในวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 2003 เมื่อ พอล เบรเมอร์ ประธานคณะบริหารประเทศชั่วคราวของกองกำลังพันธมิตร (Coalition
Provisional Authority) ประกาศระเบียบ 4 ประการ
ดังนี้ "การแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นของเอกชนโดยสมบูรณ์
บริษัทต่างชาติมีสิทธิถือครองทรัพย์สินและธุรกิจในอิรักอย่างเต็มที่
ทุนต่างชาติสามารถส่งกำไรกลับประเทศได้หมด...
เปิดให้ทุนต่างชาติสามารถควบคุมกิจการธนาคารของอิรักได้โดยสมบูรณ์
การปฎิบัติต่อบริษัทต่างชาติเยี่ยงคนในชาติ
และ...การขจัดอุปสรรคที่กีดกันการค้าเกือบทั้งหมด
ระเบียบเหล่านี้จะต้องนำไปปฏิบัติในทุกๆภาคส่วนของเศรษฐกิจ
โดยรวมถึงการบริการสาธารณะ สื่อ อุตสาหกรรมการผลิต การบริการ ขนส่งมวลชน
การเงินและการก่อสร้าง มีแต่อุตสาหกรรมน้ำมันที่ยกเว้น
(คาดว่าเป็นเพราะน้ำมันมีสถานะพิเศษ กล่าวคือ
เป็นรายได้หลักที่ผู้ผลิตต้องจ่ายชดเชยการทำสงครามและยังมีความสำคัญต่อภูมิรัฐศาสตร์ด้วย)"4
จากคำกล่างข้างต้นคงจะแสดงให้เห็นได้แล้วว่าเสรีภาพที่สหรัฐย้ำหนักย้ำหนาให้ชาวโลกร่วมเดินในแนวทางของสหรัฐ
นั่นมีนัยยะว่าเป็นเสรีภาพของบรรษัทเอกชนของสหรัฐที่จะเข้ายึดครองทรัพยากรของชาติอื่น
เราคงพอจะเห็นได้แล้วว่าแนวคิดเสรีนิยมนั้นนอกเหนือจะนำมาซึ่งเสรีภาพในปัจเจกบุคคลคือส่งเสริมให้คนในสังคมมีสิทธิเสรีในเรื่องต่างๆภาพใต้ขอบเขตของกฏหมายแล้ว
แนวคิดนี้ยังนำมาซึ่งเสรีภาพของกลุ่มชนชั้นนำหรือกลุ่มคนร่ำรวยมหาศาลในสังคมที่จะมีสิทธิ์เข้าไปถือครองทรัพยากรของชาติอื่นด้วย
เอกสารอ้างอิง
1.มาจากหนังสือประวัติศาสตร์ฉบับย่อของลัทธิเสรีนิยมใหม่ เขียนโดย David
Harvey ฉบับแปลของสำนักพิมพ์สวนเงินมีมา หน้า VII
ย่อหน้าที่ 2
2.มาจากหนังสือประวัติศาสตร์ฉบับย่อของลัทธิเสรีนิยมใหม่ เขียนโดย David
Harvey ฉบับแปลของสำนักพิมพ์สวนเงินมีมา หน้า 35
3.ตัวอย่างนี้มาจากหนังสือประวัติศาสตร์ฉบับย่อของลัทธิเสรีนิยมใหม่ เขียนโดย David
Harvey ฉบับแปลของสำนักพิมพ์สวนเงินมีมา หน้า 52 ย่อหน้าที่ 1
4.มาจากหนังสือประวัติศาสตร์ฉบับย่อของลัทธิเสรีนิยมใหม่ เขียนโดย David Harvey ฉบับแปลของสำนักพิมพ์สวนเงินมีมา
หน้า 12 ย่อหน้าที่ 1